โควิด สายพันธุ์ย่อย BA.2 แพร่เร็ว-รุนแรงกว่าโอมิครอน
ถ้าไวรัสกลายพันธุ์ไปในทิศทาง ที่แพร่เชื้อเร็ว ดื้อต่อวัคซีนมาก และก่อโรครุนแรง โควิด สายพันธุ์ย่อย BA.2 แพร่เร็ว-รุนแรงกว่าโอมิครอน ก็จะเกิดการระบาดขนาดใหญ่ทั่วโลก และโควิด-19 ก็จะอยู่ต่อเนื่องไปอีก ซึ่งไม่มีใครทราบว่าจะนานเท่าใด เมื่อต้นปีช่วงเดือน มกราคม 2565 พบไวรัสสายพันธ์ุใหม่ B.1.640 เป็นโควิดสายพันธุ์ใหม่ล่าสุดที่พบการติดเชื้อในหลายประเทศทางยุโรป รายงานครั้งแรกจากประเทศฝรั่งเศส โดยสื่อ La Telegramme ว่าพบคลัสเตอร์ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง แคว้นเบรอตง แต่ตอนนี้ผ่านมาได้ไม่นานทั่วโลกกำลังเผชิญกับไวรัสสายพันธ์ุใหม่
“ความสำคัญของ BA.1 และ BA.2 คือ มีลักษณะกลายพันธุ์เหมือนกัน 32 ตำแหน่ง และต่างกัน 28 ตำแหน่ง อันที่เป็นจุดสำคัญของ BA.2 จากที่ควรจะมีตำแหน่งที่หายไปจากสายพันธุ์เดลต้าในตำแหน่ง HV69-70 แต่ปรากฎว่าไม่ได้หายไป แต่เรายังมีวิธีตรวจจับได้ ประเทศที่พบว่าสายพันธุ์นี้จะมาแทน BA.1 คือ อินเดีย เดนมาร์ก สวีเดน โดยถ้า BA.2 แพร่เร็วกว่า BA.1 ก็จะมีการแทนที่กันในอนาคต ฉะนั้นประเทศไทยต้องจับตาดู ซึ่งคำถามว่า เร็วขึ้น หลบวัคซีน หรือมีความรุนแรงกว่าเดิมหรือไม่ ก็พบว่ามีสัญญาณว่าแพร่เร็วขึ้น ความรุนแรงกับหลบวัคซีนที่ต้องดูจากตำแหน่งกลายพันธุ์ ซึ่งข้อมูลขณะนี้ ยังมีข้อแตกต่างไม่มากเมื่อเทียบกับ BA.1 เพราะต้องดูในสนามจริงว่า คนติดเชื้อจะรุนแรงมากกว่าแค่ไหน”
นับจากมีไวรัสโอมิครอนแพร่ระบาดไปทั่วโลก โดยมีความสามารถในการแพร่ที่รวดเร็วกว่าไวรัสเดลตา แต่มีความรุนแรงน้อยกว่านั้น
ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา มีข้อมูลเบื้องต้นสรุปได้ว่า
- มีไวรัสสายพันธุ์ย่อยอยู่ 3 สายพันธุ์คือ BA.1 , BA.2 , BA.3
- BA.1 เป็นหลัก โดยมี BA.2 เป็นลำดับที่ 2
- BA.2 มีลักษณะเด่นคือ แพร่เร็วกว่า BA.1 มากถึง 30% ทำให้ขณะนี้แพร่ไปแล้ว 74 ประเทศ และ 47 รัฐของสหรัฐฯ
- มีถึง 10 ประเทศ ที่มีสายพันธุ์ย่อย BA.2 เป็นสายพันธุ์หลักประกอบด้วย บังกลาเทศ อินเดีย ปากีสถาน เนปาล เดนมาร์ก ฟิลิปปินส์ จีน บูรไน กวม และมอนเตรเนโก
- BA.2 มีความสามารถในการดื้อต่อวัคซีนพอๆกับ BA.1 ทำให้ต้องฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ซึ่งจะมีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อได้ 74% (ของไทยคือ 68%)
- มีความสามารถในการก่อโรคที่มีอาการรุนแรงพอกันกับ สายพันธุ์ย่อย BA.1 แต่มีข้อมูลในประเทศเดนมาร์กที่พบว่าความรุนแรงเพิ่มขึ้นทำให้นอนโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น แตกต่างกับแอฟริกาใต้และอังกฤษการนอนโรงพยาบาลไม่ได้เพิ่มขึ้น
- มีการดื้อต่อการรักษาด้วยยาบางชนิด เช่น ภูมิคุ้มกันแบบ Monoclonal Antibody
มารู้จักกับโควิด สายพันธุ์ย่อย BA.2
โอมิครอนในไทยใกล้ 100% เผย BA.2 แพร่เร็วขึ้น แต่ยังไม่มีข้อมูลความรุนแรง
กรมวิทย์ แถลงโควิทโอมิครอนในไทยใกล้ 100% เหลือส่วนน้อยเป็นเดลตา ขณะที่สายพันธุ์ย่อย BA.2 พบแพร่เร็วขึ้น แต่ยังไม่มีข้อมูลความรุนแรงและการหลบวัคซีน ย้ำเดลตาครอนจบแล้ว ไม่ใช่สายพันธุ์ใหม่
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 15 ก.พ. 2565 นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงถึงความคืบหน้าสถานการณ์การเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา (5-11 ก.พ. 2565) ตรวจไป 1,975 ราย พบว่าเป็นโอมิครอน (Omicron) 97.2% และอีก 2.8% เป็นสายพันธุ์เดลตา (Delta) ซึ่งไทยพบโอมิครอนทุกจังหวัดของประเทศแล้ว พร้อมสรุป 5 ประเด็น ดังนี้
- การระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนอย่างรวดเร็วทั่วโลก และเกิดซ้ำๆ บ่อยๆ ทำให้มีโอกาสเกิดการกลายพันธุ์ได้มากทั้งการเกิดสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน หรือ เกิดสายพันธุ์ใหม่ แต่ขณะนี้ยังไม่พบ
- การเฝ้าระวังสายพันธุ์ในประเทศไทย ขณะนี้พบเป็นสายพันธุ์โอมิครอนในผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศในสัดส่วนเกือบ 100% (99.4%) และผู้ติดเชื้อในประเทศไทยพบเป็นสัดส่วน 96.2%
- การเฝ้าระวังสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน คือ BA.2 ด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัว (WGS) พบประมาณ 2% แต่จากการเริ่มสุ่มตรวจโดยการตรวจเบื้องต้น (SNP) ในบางพื้นที่ พบเป็น BA.2 ในสัดส่วนประมาณ 18% ซึ่งจะได้ทำการเฝ้าระวังต่อไปด้วยการตรวจที่ครอบคลุมมากขึ้น จึงจะเห็นข้อเท็จจริงของสัดส่วน BA.2 ในไทย
- สายพันธุ์ BA.2 มีข้อมูลเบื้องต้นว่าสามารถแพร่ได้เร็วกว่า BA.1 แต่ความรุนแรง และการหลบวัคซีน ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะประสานกับกรมการแพทย์ เพื่อติดตามอาการทางคลินิกของผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน BA.2 ต่อไป ว่า มีความรุนแรงและเสียชีวิตมากน้อยเพียงใด
- ข้อมูลเท่าที่มีบ่งชี้ว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นยังช่วยป้องกันการติดเชื้อโควิด-19ลดอาการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ ไม่ว่าจะสายพันธุ์ BA.1 หรือ BA.2 จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นตามกำหนด
ผลการวิจัยในห้องปฏิบัติการของญี่ปุ่น ชี้ว่าเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ BA.2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน แพร่ระบาดเร็วกว่าสายพันธุ์โอมิครอนดั้งเดิมถึงร้อยละ 50 และอาจก่อโรครุนแรงมากขึ้น
วันนี้ (18 ก.พ.2565) สำนักข่าว CNN รายงานว่า นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น พบว่าโควิด-19 สายพันธุ์ BA.2 ไม่ควรถูกมองว่าเป็นสายพันธุ์หนึ่งของโอมิครอนเท่านั้น แต่จำเป็นที่จะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการตรวจหาทำได้ยากมากขึ้น
นอกจากนี้ยังพบว่าสายพันธุ์ย่อยดังกล่าว สามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันและการรักษาบางวิธีได้ รวมทั้งอาจก่ออาการรุนแรงขึ้น หลังจากการทดลองกับหนูแฮมสเตอร์ พบว่าปอดของหนูที่ติดเชื้อสายพันธุ์ย่อยเสียหายมากกว่าหนูที่ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนดั้งเดิม
งานวิจัยชิ้นนี้ยังไม่ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ ในขณะที่ปัจจุบันพบการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ย่อย BA.2 แล้วใน 74 ประเทศทั่วโลก ซึ่งในจำนวนนี้ได้กลายมาเป็นสายพันธุ์หลักแล้วในอย่างน้อย 10 ประเทศ รวมถึงบรูไน จีน เดนมาร์ก อินเดียและฟิลิปปินส์ ขณะที่สหรัฐอเมริกาพบสายพันธุ์นี้ไปแล้ว 47 รัฐจากทั้งหมด 50 รัฐ
การติดตามความรุนแรงของเชื้อโอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.2 ว่า จะมีการส่งข้อมูลไปยังกรมการแพทย์ เพื่อดูอาการทางคลินิกของผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ดังกล่าว เพื่อดูความรุนแรง การใส่ท่อช่วยหายใจ และการเสียชีวิต โดยมีข้อมูลวิชาการหลายฉบับระบุว่า การฉีดวัคซีนกระตุ้นยังลดการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ทั้งสายพันธุ์ BA.1 และ BA.2 นอกจากนี้ควรใช้ แอลกอฮอล์ ในการฆ่าเชื้อโรคโควิด
วิธีป้องกันตัวเองและสังคมจากโรคติดต่อโควิด-19
การป้องกันตัวเองและสังคมจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 เป็นมาตรการที่ประชาชนทุกคนควรทำและให้ความร่วมมือ เพื่อช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรค รวมถึงลดการแพร่กระจายเชื้อในสังคม ซึ่งมาตรการดังกล่าวสามารถทำได้ ดังนี้
สร้างภูมิคุ้มกันอยู่สม่ำเสมอ
การมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและพฤติกรรมสุขภาพที่ดี เป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สามารถต่อสู้กับโรคภัยต่างๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- 1. การเว้นระยะห่างทางสังคม
การรักษาระยะห่างระหว่างตัวเองและผู้อื่น เป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำ ไม่ว่าจะได้สัมผัสเชื้อหรือไม่ ซึ่งรวมถึงการหลีกเลี่ยงการจับมือ เลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกัน ควรอยู่ห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 1 เมตร เลี่ยงไปในสถานที่แออัดหรือเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และสิ่งสำคัญที่สุดคือการพักอยู่บ้านหากรู้สึกไม่สบาย การเว้นระยะห่างทางสังคม จะช่วยชะลอการกระจายของไวรัส ซึ่งทำให้ทรัพยากรเพียงพอต่อผู้ที่จำเป็นต้องใช้
- หมั่นล้างมือให้สะอาด
การล้างมือให้สะอาด ด้วยสบู่หรือ แอลกอฮอล์ ฆ่าเชื้อ หลังจากทำกิจกรรมต่างๆ สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ดีที่สุด
- เฝ้าสังเกตอาการของตัวเอง
การเฝ้าระวังและสังเกตอาการตัวเองนั้น นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสแล้ว หากระหว่างสังเกตพบว่ามีอาการเข้าข่ายการติดเชื้อ ทำให้สามารถเข้ารับการตรวจและรักษาได้ทันท่วงทีอีกด้วย
มาตรการป้องกันการติดเชื้อไม่ใช่เป็นเพียงหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ หรือประชาชนคนใดคนนึง แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนพึงกระทำร่วมกัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อทั้งต่อตัวเอง ครอบครัว คนรอบข้าง และสังคม
นอกจากนี้อย่าลืมป้องกันผิวของเราให้ห่างจากรังสียูวี สเปรย์กันแดด เนื้อเบา การทาครีมกันแดดเพื่อเป็นเกราะป้องกันผิวนอกจากช่วยให้ผิวพรรณแข็งแรง ดูอ่อนเยาว์แล้วยังลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังชนนิดต่างๆ ทาครีมกันแดดค่ะ เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างเกราะป้องผิวจากการทำร้ายของรังสี UV แล้วยังช่วยยับยั้งเซลล์ผิวไม่ให้สร้างริ้วรอยแห่งวัยอย่างรอยตีนกา หรือร่องลึกข้างแก้มอีกด้วยนะค่ะ
กันแดด กันดะ มีวางจำหน่ายแล้วทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลและเลือกซื้อสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/pg/kandabeauty.company/
website : Kandabeauty.com