ครีมกันแดด ปริมาณขนาดไหน ผิวถึงไกลปัญหา

ครีมกันแดด ปริมาณขนาดไหน ผิวถึงไกลปัญหา

ตอนนี้ไม่น่าจะมีใครที่ไม่ทาครีมกันแดดออกจากบ้านกันแล้ว กลายเป็นไอเทมอีกชิ้นที่จำเป็นต้องใช้ก่อนออกจากบ้าน แต่ถึงแม้เราจะทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน แต่สุดท้ายแล้วเราก็ยังพบว่าผิวของเรามีปัญหาอยู่ดี ทาแล้วทำไมผิวยังคล้ำ ทาแล้วทำไมผิวยังเกิดจุดด่างดำ หรือเบิร์นแดด ครีมกันแดด ปริมาณขนาดไหน นั่นก็เพราะว่าความสำคัญของการทาครีมกันแดด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับค่า SPF อย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับปริมาณในการทา

 

เริ่มจากการเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวหน้า
ในการเลือกครีมกันแดควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB เพราะครีมกันแดดบางชนิดมีคุณสมบัติในการป้องกันเฉพาะรังสี UVB เท่านั้น ทำให้ผิวของเราไม่ได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่
  • ผิวมัน : เหมาะกับครีมกันแดดที่เนื้อบางเบา เป็นเนื้อน้ำที่ซึมเข้าผิวง่าย ไม่อุดตัน
  • ผิวแห้ง : ควรเลือกครีมกันแดดที่เป็นเนื้อครีม จะทำให้หน้าไม่แห้งตึงและเป็นขุย
  • ผิวแพ้ง่าย : เหมาะกับครีมกันแดดที่เป็นเนื้อบางเบา เป็นเนื้อเซรั่มหรือสเปรย์ เลือกค่า SPF สูงๆ เพราะผิวที่บอบบางมากจะมีปฏิกิริยาไวต่อแสงแดดมากกว่าผิวชนิดอื่น
 ต้องทามากแค่ไหนกันแน่?
มักจะได้ยินบ่อยๆ ว่า กันแดด ควรทาให้ได้ปริมาณ 2 ข้อนิ้ว หรือประมาณเหรียญสิบ ซึ่งปริมาณนี้ก็เป็นเพียงปริมาณคร่าวๆ เนื่องจากรูปร่างใบหน้าของเราแต่ละคนไม่เท่ากัน ทำให้พื้นที่บนใบหน้าก็ไม่เท่ากันไปด้วย ให้ลองลดหรือเพิ่มตามความเหมาะสม
เราอาจจะมองว่าต้องทาเยอะขนาดนี้เลยเหรอ? ที่ต้องทาเยอะขนาดนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าครีมกันแดดจะทำหน้าที่เหมือนผ้าคลุมใบหน้า ปกป้องเราจากแสงแดดได้ทั่วจริงๆ ลองคิดภาพดูว่า ถ้าผ้าที่คลุมบางมากๆ เราก็จะรู้สึกว่าแสบร้อนที่ผิว หรือการทาไม่ทั่วก็เหมือนกับผ้าของเราขาดเป็นรูๆ ทำให้ผิวเกิดจุดด่างดำ และไม่สม่ำเสมอกันนั่นเอง ดังนั้นเวลาทา ต้องแน่ในว่าเราได้ปาดครีมลงบนบริเวณนั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่เบลนด์ครีมมาจากส่วนอื่น
ทาน้อยเกินไป = ไม่ได้ทา
การทาครีมกันแดดแบบบางๆ ปริมาณเท่าเม็ดไข่มุก พอให้รู้สึกว่าได้ทา ยังทำให้ SPF ของครีมกันแดดลดลงประมาณ 85-90% เลยค่ะ นั่นแปลว่าการทาครีมกันแดด SPF50 ก็อาจจะทำให้ปกป้องผิวของเราได้แค่ SPF5-7.5 เท่านั้น! แบบนี้ก็เหมือนไม่ได้ทาเลย
ทาเยอะเกินไป = หน้าวอก
สำหรับสาวๆ ที่ไม่ได้มีสีผิวที่ขาวมากๆ อาจจะเจอปัญหาว่า ทาครีมกันแดดในปริมาณที่เหมาะสมเป๊ะๆ แล้ว แต่ดันทำให้หน้าขาววอกจนออกจากบ้านไม่ได้ นั่นก็เพราะว่าครีมกันแดดของเราเป็นแบบ Physical Sunscreen มีกมีส่วนผสมของ Zinc Oxide และ Titanium Dioxide ที่ช่วยสะท้อนแสงยูวี ข้อดีคือทาปุ๊บออกจากบ้านได้เลย ไม่ต้องรอ และมีความเสถียรในการกันแดดสูง แต่ข้อเสียก็คือครีมกันแดดแบบนี้จะเคลือบอยู่บนชั้นผิว ทำให้ผิวของเราดูวอกหรือเกิดเป็นคราบขาว
หนทางที่ง่ายที่สุดก็คือการเลี่ยงไปทาครีมกันแดดแบบ Chemical แทน อาจจะต้องเผื่อเวลาในการออกแดดซัก 15-30 นาที แต่เนื่องจากสารกันแดดเป็นแบบซับแสงยูวี ทำให้ผิวไม่รู้สึกเหมือนมีอะไรเคลือบไว้ ไม่ทำให้เป็นคราบขาวๆแต่ข้อเสียก็คือกันแดดแบบนี้จะทำให้ผิวเกิดการอุดตันและระคายเคืองได้ง่ายกว่า
แต่จริงๆ ตอนนี้ครีมกันแดดแบบ Physical และ Chemical ก็ถูกพัฒนาไปมากแล้ว น้อยมากที่จะเกิดการทาปริมาณมากๆ จนทำให้ผิวขาวจนวอก หรือเกิดอาการแพ้
ประเภทสารกันแดด
  • ครีมกันแดดชนิดเคมี (Chemical sunscreen)
  • ครีมกันแดดชนิดกายภาพ (Physical sunscreen)
  • ครีมกันแดดชนิดผสม (Chemical-Physical sunscreen)
  • ครีมกันแดดชนิดเคมี (Chemical sunscreen)

กันแดด ในกลุ่มนี้จะทำหน้าที่ป้องกันรังสี UV โดยการดูดซับรังสีไว้ไม่ให้สามารถทะลุผ่านเข้ามาทำอันตรายต่อผิวหนัง

    • ข้อดี สารกลุ่มนี้คือสามารถดูดกลืนรังสีไว้ได้ทั้งหมดทำให้ป้องกันรังสี UV ได้เป็นอย่างดี
    • ข้อเสีย สารกันแดดในกลุ่มนี้อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังโดยเฉพาะคนที่มีผิวแพ้ง่าย และต้องทาครีมทิ้งไว้ 30 นาทีก่อนออกแดดเพื่อให้สารออกฤทธิ์ทำงาน และต้องทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง ล้างทำความสะอาดยากกว่าครีมกันแดดชนิดกายภาพ ตัวอย่างสารกลุ่มนี้ที่พบบ่อยจะเป็น 2-Ethylhexylmethoxycinnamate (Parsol MCX) Benzophenone-3 (Oxybenzone) และ Butylmethoxydibenzoylmethane (Avobenzone)
  • ครีมกันแดดชนิดกายภาพ (Physical sunscreen)

สารกันแดดกลุ่มนี้จะเคลือบอยู่บนผิวหนังแล้วทำการสะท้อนหรือกระจายรังสี UV จึงทำให้สามารถป้องกันรังสี UV ได้

    • ข้อดี มีความปลอดภัยสูงกว่าและมีโอกาสเกิดการแพ้ได้น้อยกว่าครีมกันแดดชนิดเคมีเนื่องจากไม่ถูกดูดซึมผ่านผิวหนัง อีกทั้งยังสามารถออกแดดได้ทันทีหลังทา โดยไม่ต้องทาซ้ำถ้าเนื้อครีมไม่หลุดจากผิว และยังล้างทำความสะอาดง่ายอีกด้วย
    • ข้อเสีย สารกันแดดกลุ่มนี้จะมีขนาดอนุภาคใหญ่ เนื้อครีมมีความหนา ไม่โปร่งแสง เวลาทาลงบนผิวอาจทำให้แลดูไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้เกิดอาการวอกได้ ดังนั้นผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีส่วนผสมของสารกลุ่มนี้มักนิยมใช้สารที่มีอนุภาคขนาดเล็ก หรือที่รู้จักกันว่า micronized form เพื่อไม่ให้เกิดปื้นขาวและสามารถกระจายตัวบนผิวได้ง่าย การทำให้อยู่ในรูป micronized form ยังช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวในการสะท้อนหรือกระจายรังสี UV ได้อีกด้วย ตัวอย่างของสารกลุ่มนี้ได้แก่ Zinc oxide และ Titanium dioxide
  • ครีมกันแดดชนิดผสม (Chemical-Physical sunscreen)

สารกลุ่มนี้ได้พัฒนาขึ้นมาใหม่ เป็นสารกันแดดที่ทำหน้าที่ทั้งสะท้อนและดูดซับรังสียูวีได้ทั้งสองอย่างในตัวเอง ดังนั้น จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่รวมข้อดี และลดข้อด้อยของครีมกันแดดทั้งสองประเภทข้างต้น ซึ่งปัจจุบัน ครีมกันแดดที่วางจำหน่ายส่วนมากจะเป็นชนิดนี้

อย่ามองข้ามครีมกันแดดทาตัว
หลายๆ คนโฟกัสแต่กันการทาครีมกันแดดบนใบหน้า อย่าลืมว่าผิวตัวของเราก็ต้องการการปกป้องด้วย เดี๋ยวนี้มี ครีมกันแดดทาตัวที่ไม่เหนอะหนะผิวและราคาไม่แพงออกมาเยอะเลย ส่วนปริมาณที่เหมาะสมก็คือประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ หรือว่า 1 แก้วช็อต
การเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดโดยตรงเป็นหนึ่งในการป้องกันฝ้าที่สามารถทำได้ในชีวิตประจำวันมากที่สุด เนื่องจากรังสีอัลตราไวโอเลตทั้ง ยูวีเอ (UVA) ยูวีบี (UVB) หรือแสงที่ตามองเห็นได้ (Visible Light) อาจกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสร้างเม็ดสีเพิ่มมากขึ้นจนทำให้เกิดฝ้าได้ ควรทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านหรือก่อนไปยังสถานที่ที่ต้องเผชิญกับแสงแดดโดยตรง เพื่อป้องกันผิวหนังถูกทำร้ายจนคล้ำเสีย โดยเลือกครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟอย่างน้อย 30 ซึ่งตัวเลขค่าเอสพีเอฟนี้เองจะเป็นค่าที่บ่งบอกว่าครีมมีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดดได้ดีมากน้อยแค่ไหน รวมไปถึงมีสารป้องกันแดดแบบกายภาพเป็นส่วนประกอบ เช่น ไทเทเนียมไดออกไซด์ (Titanium Dioxide) หรือ ซิงค์ ออกไซด์ (Zinc Oxide) ซึ่งช่วยสะท้อนรังสีอัลตราไวโอเลตที่มากระทบจากผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การเลือกใช้เครื่องสำอางหรือครีมบำรุงผิวสำหรับกลางวันก็ควรเลือกชนิดที่มีสารกันแดดเหล่านี้เป็นส่วนประกอบเช่นกัน เพื่อเป็นการป้องกันผิวจากแสงแดดไปในตัว
วิธีการทาครีมกันแดดอย่างถูกต้อง
  • เลือกครีมกันแดด ยี่ห้อที่เชื่อถือได้ มี อย. มี SPF 50 ขึ้นไป และ กัน UVA (โดยดูจาก PA ตั้งแต่3+ ขึ้นไป หรือเครื่องหมาย  PA ที่มีวงกลมล้อมรอบ)
  • ทาครีมกันแดดปริมาณตามมาตรฐานคือ 1 กรัมต่อการทาทั่วหน้า 1 ครั้ง สามารถกะปริมาณได้โดย บีบครีมยาว 2 ข้อนิ้ว ความกว้างลำครีมครึ่งเซนติเมตร ทาทั่วหน้า เกลี่ยครีมเบาๆให้เข้าไปในผิวหน้าให้สีเสมอกัน จะทาลงมาที่คอด้วยก็ได้ แต่ต้องเพิ่มปริมาณครีมกันแดดด้วย หากทาน้อยกว่านี้ จะมีประสิทธิภาพในการกันแดดน้อย ทาทุกวันตอนเช้า และทาซ้ำอีกทีก่อนออกไปทำกิจกรรมที่ต้องถูกแสงแดดแรงๆ หรือนานๆ เช่นออกกำลังกายกลางแจ้ง ไปเที่ยวชายทะเล ทั้งนี้ เพราะครีมกันแดดจะกันแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดในช่วงระยะเวลา 2 ชม. แรกหลังทา การทาซ้ำถ้ามีที่ล้างหน้าให้ล้างหน้าก่อน ถ้าไม่มีที่ล้างหน้าให้ทาซ้ำไปได้เลย

ครีมกันแดด ปริมาณขนาดไหน ผิวถึงไกลปัญหา

อย่าลืมว่าการทาครีมกันแดดไม่ใช่เพื่อผิวที่สวยและสุขภาพดีเท่านั้น แต่ยังเป็นการป้องกันผิวของเราจากโรคผิวหนังต่าง ๆ และป้องกันจากมะเร็งผิวหนัง และเราควรทาครีมกันแดดทุกวัน แม้จะไม่ได้เห็นแดดแรงๆ หรืออยู่แต่ในบ้านก็ตาม เพราะแสงแดดตามเราไปได้ทุกที่ และควรที่จะใช้คลีนซิ่งในการทำความสะอาดหน้า เช็ดหน้า ก่อนการล้างหน้าทุกครั้ง เพราะครีมกันแดดสามารถทำให้ผิวอุดตันได้ ถ้าหากไม่ทำความสะอาด  ผิว น้ำเย็นหรือน้ำอุ่น ควรใช้น้ำอุณหภูมิปกติ ไม่เอียงเอนไปทางใดทางหนึ่ง   เพื่อไม่ให้ผิวหน้าได้รับความเสียหาย


กันแดด กันดะ มีวางจำหน่ายแล้วทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลและเลือกซื้อสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/pg/kandabeauty.company/
website : Kandabeauty.com