ผิว น้ำเย็นหรือน้ำอุ่น ล้างหน้าได้ดีกว่ากัน?
การล้างหน้าเป็นการทำความสะอาดบริเวณผิวหนังชั้นนอกของใบหน้า การล้างหน้านั้นจะช่วยทำความสะอาดและกำจัดสิ่งสกปรกออกจากใบหน้า ผิว น้ำเย็นหรือน้ำอุ่น ช่วยขจัดน้ำมันธรรมชาติออกจากใบหน้า เพราะน้ำมันธรรมชาติจะเป็นกลไกที่ร่างกายผลิตจากต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ส่งผ่านรูขุมขน แต่ถ้าผลิตออกมามากเกินไปก็อาจจะส่งผลลัพธ์ที่ไม่ดี ก่อให้เกิดสิวได้เช่นกัน เราจึงต้องให้ความสำคัญกับการล้างหน้าให้มากๆ

เริ่มที่การเข้าใจสภาพผิวสภาพผิวของแต่ละคนแตกต่างกัน การทำความเข้าใจสภาพผิวจะช่วยให้เราเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับปัญหาผิวของเรา
👩🏻ผิวธรรมดา ผิวในอุดมคติของใครหลายคน เพราะผู้ที่มีผิวธรรมดามักไม่มีปัญหาผิวใดเป็นพิเศษ ผิวมีความสมดุล มีความเงาเล็กน้อย ไม่แห้งหรือมันจนเกินไป มีลักษณะเรียบเนียนจนแทบไม่เห็นรูขุมขน และไม่เกิดการระคายเคืองง่าย
👩🏻🦰ผิวแห้ง มีลักษณะแห้ง หยาบกร้าน ขาดความยืดหยุ่น และเห็นรูขุมขนค่อนข้างชัดเจน ผู้มีผิวแห้งมักมีริ้วรอยง่ายกว่าผู้มีสภาพผิวแบบอื่น หากผิวแห้งมากอาจทำให้เกิดรอยแดงบนผิวและทำให้ผิวลอกเป็นขุยได้
👸🏻ผิวมัน ผิวที่มีน้ำมันบนผิวมากกว่าสภาพผิวอื่น เนื่องจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากผิดปกติ ทำให้ผิวหน้ามีลักษณะมันเยิ้ม รูขุมขนกว้าง เกิดสิวต่าง ๆ ตามมาได้ง่าย หากอยู่ในสภาพอากาศร้อนจะยิ่งทำให้ผิวหน้ามันมากขึ้น
👧🏻ผิวผสม ผสมระหว่างผิวแห้งหรือผิวธรรมดากับผิวมัน โดยส่วนมากมักมีผิวแห้งบริเวณแก้มและมีผิวมันบริเวณทีโซน (T-Zone) ซึ่งหมายถึงบริเวณหน้าผาก จมูก และคาง ซึ่งทำให้การดูแลผิวยากกว่าคนที่มีสภาพผิวแบบอื่น เพราะผิวแต่ละจุดมีปัญหาที่ต้องการการดูแลที่ต่างกัน โดยในบริเวณที่ผิวแห้งอาจรู้สึกถึงความแห้งตึง ผิวแดงและลอกเป็นขุย ส่วนบริเวณที่ผิวมันจะมีลักษณะมันเงา เห็นรูขุมขนกว้าง และมีสิว
👱🏻♀️ผิวแพ้ง่าย มักรู้สึกระคายเคืองต่อสารเคมีที่ผสมในครีม บำรุงผิว และเครื่องสำอาง เมื่อสัมผัสสารนั้นจึงทำให้เกิดอาการคันและแสบผิว ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีแดง ในบางครั้งอาจทำให้ผิวแห้งลอกและมีตุ่มหรือผื่นขึ้นได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง

วิธีการล้างหน้าให้เหมาะกับลักษณะของผิวในแต่ละคน
🌞สำหรับคนที่มีผิวแห้ง ควรพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการใช้โฟมล้างหน้าในตอนเช้า เพราะการใช้โฟมล้างหน้านั้นจะทำให้ไขมันต่างๆที่อยู่บนผิวหน้าของเรานั้นหลุดออกไปทั้งหมด ทำให้ผิวแห้งตึงหลังล้างเสร็จ
🌞สำหรับคนที่มีผิวมัน อาจจะต้องพิจารณาความมันของใบหน้าก่อนที่จะเลือกใช้วิธีการล้างหน้า เพราะในความเป็นจริงแล้วการที่ล้างเอาไขมันออกไปจากใบหน้าทั้งหมด ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้รูขมขนกว้างขึ้นได้เช่นกัน ดังนั้นถึงแม้ว่าจะเป้็คนผิวมันเราก็ไม่ควรที่จะใช้โฟมล้างหน้าในการล้างหน้าทุกๆเช้า
เกร็ดความรู้: สาเหตุที่เราควรล้างหน้าทุกเช้าเนื่องจาก ไขมันที่ร่างกายขับออกมาในช่วงเวลากลางคืนนั้นจะไปทำปฏิกริยากับออกซิเจน กลายเป็น Fatty Acid Peroxides ซึ่งเรียกได้ง่ายๆว่าเป็นสาเหตุของการเกิดอนุมูลอิสระ (Free Radical) ภายในร่างกายของเรานั่นเอง ดังนั้นเราจึงควรที่จะล้าง Fatty Acid Peroxides ให้ออกไปจากร่างกายของเราให้หมด ซึ่ง Fatty Acid Peroxides นั้นสามารถที่จะล้างออกได้ในน้ำอุณหภูมิไม่เกิน 32 องศา หรือไม่เกิดอุณหภูมิร่างกายของเรา ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ทำไมเราถึงไม่จำเป็นต้องใช้โฟมล้างหน้าทำความสะอาดผิวหน้าของเรา
การล้างหน้าด้วยน้ำเย็น
เหมาะสมสำหรับคนที่มีปัญหาในเรื่องสิว ทั้งสิวอักเสบ สิวอุดตัน สิวหนอง สิวผดและรอยดำรอยแดง มีอาการระคายเคืองอยู่บ่อยๆหรือมีอาการบวมแดง น้ำเย็นจะสามารถช่วยให้อาการบวมแดงบรรเทาลงได้ ลดผดผื่นและลดการอุดตัน แต่ก็จะช่วยให้ใบหน้าดูกระชับได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ยิ่งถ้าใครนอนดึกร้องไห้ตาบวมน้ำเย็นก็จะช่วยบรรเทาอาการบวมรอบดวงตาได้ นอกจากนี้การล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจะช่วยทำให้ผิวหน้าเรารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่ควรใช้น้ำเย็นในปริมาณที่พอดีไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
📍การล้างหน้าด้วยน้ำเย็น(น้ำอุณหภูมิห้อง) จะช่วยกระชับรูขุมขน ช่วยทำให้ผิวหน้าดูเต่งตึงและช่วยกระชับรูขุมขนได้เนื่องจาก อุณหภูมิของน้ำที่เย็นจะช่วยทำให้รูขุมขนบนผิวหน้าหดเล็กลง แต่ก็สามารถช่วยกระชับรูขุมขนได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น หากระหว่างวันเรามีการออกกำลังกาย ทำกิจกรรมต่างๆ เผชิญกับอากาศที่ร้อนก็อาจจะทำให้รูขุมขนขยายได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยและสภาพแวดล้อม ดังนั้นการล้างหน้าด้วยน้ำเย็นไม่สามารถกระชับรูขุมขนบนใบหน้าได้ตลอดแต่ถ้าเราหมั่นล้างหน้าด้วยน้ำเย็นรูขุมขนบนใบหน้าก็จะคอยกระชับอยู่ตลอด
📍ทำให้มีความรู้สึกสดชื่น เต่งตึง ทั้งในช่วงเช้าและเย็นถ้าเรามีการกวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเป็นเวลา 3-5 นาที จะช่วยให้ใบหน้าเรานั้นสดชื่น เต่งตึงขึ้นมาได้ น้ำเย็นจะช่วยทำให้เรารู้สึกตื่นตัวได้ตลอดเวลา ใครที่ต้องทำงานหรือง่วงๆขณะเรียนล้างหน้าด้วยน้ำเย็นก็ทำให้ตื่นขึ้นมาได้ รู้สึกสดชื่นสามารถทำกิจกรรมต่างๆได้ต่อ
📍ลดอาการบวมของใบหน้าและผิวรอบๆดวงตาให้บวมน้อยลง ใครที่ตื่นนอนมาแล้วใบหน้าหรือเปลือกตารอบดวงตามีอาการบวมเนื่องจากนอนดึก หรือผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง การล้างหน้าด้วยน้ำเย็นในทั้งตอนเช้าและตอนเย็นประมาณครั้งละ 3-5 นาที จะช่วยทำให้ใบหน้าและรอบดวงตามีอาการบวมลดลง เพราะน้ำเย็นช่วยให้เส้นเลือดตามใบหน้าหดตัวลง อาการบวมจึงค่อยๆลดลงนั่นเอง
📍ช่วยให้ผิวเรียบเนียนดูกระจ่างใส น้ำเย็นจะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดบริเวณหน้าไหลเวียนได้ดี พอระบบไหลเวียนเลือดไหลเวียนได้ดีแล้วนั้นก็จะทำให้ผิวหน้าดูเปล่งปลั่งเต่งตึง มีความชุ่มชื้นเพราะช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้ยังคงอยู่ ทำให้ผิวไม่แห้งตึง บวกกับน้ำเย็นช่วยกระชับรูขุมขนให้กระชับขึ้นก็จะยิ่งทำให้ใบหน้าของสาวๆนั้นยิ่งดูเรียบเนียนมากกว่าเดิมและยังช่วยให้ริ้วรอยลดลงแถมยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยเพิ่มขึ้นได้ดีอีกด้วย
📍ลดความมันบนใบหน้า ใครที่มีปัญหาผิวหน้าเป็นผิวผสมที่ค่อนไปทางผิวมัน วิธีนี้จะช่วยลดความมันลงได้ เพราะน้ำเย็นเมื่อช่วยกระชับรูขุมขนให้กระชับขึ้นแล้วน้ำมันบนบริเวณใบหน้าก็จะไม่สามารถออกมาได้มาก การล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจึงสามารถช่วยชะล้างน้ำมันหล่อเลี้ยงใบหน้าที่ถูกขับออกมาทางรูขุมขนให้ออกไปอย่างไม่รุนแรงเท่ากับการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นทำให้ระหว่างวันหน้าก็จะไม่ค่อยมัน ใครที่มีปัญหานี้สามารถล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเช้าและเย็นเป็นประจำทุกวันก็จะช่วยให้ความมันบนบริเวณใบหน้าลดน้อยลงได้
📍ลดปัญหาสิวที่เกิดบนใบหน้าได้ สาวๆคนไหนที่มีปัญหาเรื่องสิวอักเสบ สิวอุดตัน สิวหนอง สิวผด ใบหน้ามีผื่นแดง เกิดการอักเสบและระคายเคืองเนื่องจากสิ่งสกปรกที่มีการสะสมบนใบหน้า การล้างหน้าจึงเป็นการขจัดสิ่งสกปรกออกจากใบหน้าและการล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจะช่วยให้บรรเทาอาการอับเสบ ระคายเคือง เจ็บปวด หรือบวมแดงลดลงไปได้ จึงช่วยทำให้สิวยุบลงได้ง่าย รอยแดงต่างๆก็จะหายไปได้อย่างรวดเร็วเพราะน้ำเย็นจะไปช่วยลดอุณหภูมิของผิว อาการอักเสบก็จะลดลงไปด้วย แต่ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาความสะอาดของใบหน้า ทั้งขั้นตอนและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ หากเราเลือกใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและทำความสะอาดได้ถูกวิธี สิวก็จะหายได้เร็วยิ่งขึ้นแถมยังลดอัตราการเกิดสิวใหม่ได้ด้วย
📍ช่วยให้แต่งหน้าได้เนียนขึ้นและเครื่องสำอางก็จะติดทน หลังจากเราล้างหน้าด้วยน้ำเย็นผิวหน้าของเราจะมีการกระชับ เรียบเนียนและดูเต่งตึงขึ้น เมื่อล้างหน้าเสร็จใหม่ๆแล้วเรามาแต่งหน้าจะช่วยให้แต่งหน้าได้ง่ายขึ้น อย่างเช่น เมื่อเราลงคอนซีลเลอร์หรือรองพื้นก็จะลงได้เนียนกริบ สามารถเกลี่ยได้ง่าย ไม่เป็นคราบหรือตกร่องใบหน้า ไม่ทำให้หน้าดูแห้งแตก แถมน้ำเย็นยังช่วยทำให้เครื่องสำอางติดทนนานตลอดทั้งวันได้อีกด้วย
ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น
📁การล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้าเป็นสิวหรืออาการระคายเคืองบ่อยๆ ตื่นเช้ามาแนะนำให้ใช้น้ำเย็นล้างหน้า หรือให้ผ้าขนหนูแช่น้ำเย็น บิดให้หมาด และวางทิ้งไว้ที่หน้าประมาณ 3 นาที จะช่วยลดอาการ หน้าบวม ตาบวม อาการบวมแดง ลดผดผื่น ลดการอุดตัน ความเย็นของน้ำจะทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัวรูขุมขนกระชับขึ้น แต่น้ำเย็นในที่นี้ก็ควรจะเป็นน้ำเย็นในอุณหภูมิห้องปกติ ไม่ควรใช้น้ำเย็นจัดจนเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวเสียสมดุลได้
ข้อดี
- ช่วยกระชับรูขุมขน
- ช่วยลดความมันบนใบหน้า
- ลดสิวอักเสบ
- ช่วยให้ผิวเรียบเนียน และกระจ่างใส
- ทำให้ผิวดูกระจ่างใส
ข้อเสีย
- น้ำเย็นจัดจนเกินไป จะทำให้ผิวระคายเคือง
📁ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น
น้ำอุ่น ควรเป็นน้ำอุ่นที่อุณหภูมิของน้ำอุ่นต้องไม่สูง ไม่ต่ำเกินไป จะช่วยให้รูขุมขนขยายตัวได้ดี และขจัดสิ่งสกปรกความมันบนผิวหน้าได้ดีขึ้น เพราะรูขุมขนขยายตัวแต่ถ้าล้างด้วยน้ำอุ่นติดต่อกันนานๆ อาจทำให้หน้าแห้ง หยาบและรูขุมขยายกว้างกว่าเดิมได้ แนะนำให้ทำความสะอาดผิวช่วยน้ำอุ่น และหลังล้างหน้าจึงควรเติม มอยส์เจอไรเซอร์
บำรุงผิว เน้นที่ให้ความชุ่มชื่น หรือ สูตรเติมน้ำให้ผิว
ข้อดี
ช่วยให้รูขุมขนขยายตัวได้ดี ช่วยให้เราทำความสะอาดผิวหน้าได้ดีขึ้น
ข้อเสีย
การล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น อาจจะง่ายสำหรับคนที่อาบน้ำอุ่นอยู่แล้วแต่อย่างไรก็ตามเราอยากให้หลีกเลี่ยงเพราะส่งผลเสียต่อผิวหลายประการ
– การล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น จะช่วยให้รูขุมขนขยายตัวได้ดี ช่วยให้เราทำความสะอาดผิวหน้าได้ดีขึ้น
– สำหรับบางรายอาจทำให้รูขุมขนอุดตันได้ง่ายขึ้นเพราะสิ่งสกปรกเข้าไปในรูขุมขนที่เปิดได้ง่าย
– ทำให้ผิวแห้งหยาบกร้าน เพราะผิวสูญเสียน้ำในผิวไปกับความร้อน
– การล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นบ่อยๆทำให้รูขุมขนขยายตัว
น้ำแบบไหนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดล่ะ?
ไม่จำเป็นต้องวัดอุณหภูมิให้เป๊ะ ให้ยุ่งยาก เพราะการล้างหน้าที่ดีที่สุดคือการล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง น้ำที่ไม่เย็นและไม่ร้อนจนเกินไป American Academy of Dermatology ยืนยันว่า การล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิห้องจะให้ผลลัพธ์และรักษาสุขภาพผิวหน้าได้ดีที่สุด เพราะเหล่าผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าส่วนมากถูกทดลองและผลิตขึ้นมาให้เหมาะกับอุณหภูมิประมาณนี้นั่นเอง ผู้เชี่ยวชาญยังบอกอีกว่า การล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิห้องจะทำให้เราแน่ใจว่าเกิดฟองโฟมในปริมาณที่พอดี ชะล้างทำความสะอาดสิ่งสกปรกได้ดี และรักษาสมดุลของความชุ่มชื้นและน้ำมันบนใบหน้าได้ดี จึงไม่แปลกเลยที่นี่จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน
วิธีล้างหน้าแบบผิด ๆ
🚫ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น
คนที่เป็นสิวจะคิดว่าล้างน้ำอุ่นจะช่วยเปิดรูขุมขนและเข้าไปทำความสะอาดให้สิวหายไป แต่ไม่จริงเลย การใช้น้ำอุ่นล้างหน้ามีผลทำให้ผิวแห้งได้ เพราะน้ำอุ่นจะล้างน้ำมันที่คอยหล่อเลี้ยงผิวให้ผิวเรามีความสมดุล ซึ่งทำให้น้ำมันระหว่างเซลล์ที่คอยปกป้องผิวหน้าเราจะถูกชะล้างออกไปได้ง่ายขึ้น เราควรจะใช้น้ำธรรมดาที่มีอุณหภูมิปกติในการล้างหน้าประจำวัน
🚫ล้างหน้าบ่อยเกินไป
คนเป็นสิวมักจะมีผิวหน้าที่มัน ทำให้คิดว่าการล้างหน้าบ่อย ๆ ระหว่างวันเป็นเรื่องดี แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะการล้างหน้าบ่อย ๆ จะทำให้หน้าของเราแห้งตึงจนทำให้ผิวผลิตน้ำมันเพิ่มออกมาอีก จนกลายเป็นปัญหาหน้ามันเกินพอดีและสามารถทำให้เกิดสิวตามมาอีกและยิ่งถ้าเป็นสิวอยู่แล้วการล้างหน้าบ่อย ๆ จะทำให้ระคายเคืองผิวได้ ทางที่ดีเราควรล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง เวลาเช้าและเย็นก็พอแล้ว
🚫ล้างหน้าหลังออกกำลังกายทันที
เวลาออกกำลังกายเสร็จเหนื่อย ๆ หน้าของเราก็จะมีเหงื่อและไขมันผุดออกมาจากรูขุมขน ซึ่งสิ่งพวกนี้จะทำให้หน้าของเรามันมาก และแน่นอนว่าทุกคนก็ต้องกลัวว่าหน้ามันจะทำให้เป็นสิวขึ้นมา เลยต้องรีบไปล้างหน้าล้างตาให้สะอาด แต่ความจริงการล้างหน้าหลังออกกำลังกายทันทีเป็นเหตุทำให้เกิดสิวเลยแหละ เพราะหลังจากที่เราออกกำลังกายเสร็จใหม่ ๆ เหงื่อที่ไหลออกมามันจะยังไม่หยุดไหลทันที แต่เรากลับรีบไปล้างหน้า ซึ่งจะทำให้รูขุมขนหดลงตอนที่เหงื่อและไขมันกำลังไหลอยู่ และยิ่งถ้าล้างไม่สะอาดจะทำให้เกิดสิวอุดตัน
🚫ใช้ผ้าเช็ดเร็ว ๆ ให้หน้าแห้งไว
การถูหรือเช็ดหน้าแรง ๆ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว เพราะผิวที่เป็นสิวจะตอบสนองไว เมื่อโดนกระตุ้นบ่อย ๆ ก็จะทำให้สิวลุกลามไปมากขึ้นจนสิวอุดตันไม่ยอมหายสักที แถมการเช็ดหน้าแรง ๆ อยากทำให้เกิดสิวผดตามมา เพราะฉะนั้นใครที่เป็นสิวก็ไม่ควรทำอะไรรุนแรงกับผิวหน้าเด็ดขาด ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเอาน้ำออก ที่สำคัญไม่ควรเอามือไปสัมผัสหน้าบ่อย ๆ เพราะอาจจะเป็นการแพร่เชื้อสิว
🚫ล้างหน้ากับฝักบัว
ไม่ควรล้างหน้าด้วยฝักบัวเด็ดขาด เพราะตอนที่ กำลังอาบน้ำมักจะเผลอเอาฝักบัวมาล้างหน้าด้วย แต่ความจริงเป็นเรื่องที่ต้องห้าม เพราะว่าน้ำจากฝกบัวจะมีแรงดันค่อนข้างแรงทำให้ความมันบนใบหน้าถูกชะล้างออกไปหมดโดยเฉพาะกับคนที่ผิวแห้งยิ่งไม่ควร เพราะนอกจากทำให้ผิวแห้งแล้วยังมีผลทำให้รูขุมขนเรากว้างขึ้นอีก เราควรจะล้างหน้าด้วยการชะล้างด้วยการสัมผัสจากมือเบา ๆ ก็พอ ใบหน้าของเราต้องการความอ่อนโยนเป็นพิเศษ
🚫ล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าที่มีเม็ดสครับ
คนที่เป็นสิวควรงดการขัดผิวหน้าจนกว่าจะหายดี เพราะการขัดผิวหน้าหรือสครับผิวหน้าจะไปกระตุ้นให้เกิดสิวหรือสิวอักเสบได้มากขึ้น สครับที่มีกรดธรรมชาติสูง ๆ อย่าง AHA BHA จะทำให้ผิวที่เป็นสิวเกิดอาการอักเสบและเกิดการระคายเคือง หรือไม่ก็ต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับคนเป็นสิวโดยเฉพาะ แต่ไม่แนะนำให้สครับผิวหน้าช่วงที่เป็นสิวดีกว่า
🚫ใช้โทนเนอร์เช็ดหน้าหลังล้างหน้า
สำหรับคนที่เป็นสิว การใช้โทนเนอร์เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น แค่เช็ดทำความสะอาดด้วยคลีนซิ่งก่อนล้างหน้าก็เพียงพอแล้ว เพราะโทนเนอร์อาจเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวแบบไม่รู้ตัวก็ได้ โทนเนอร์ส่วนใหญ่มักจะมีแอลกอฮอล์และสารเคมีอื่น ๆ ผสมอยู่ด้วย ซึ่งทำให้ผิวหน้าของคนเป็นสิวระคายเคืองได้ ใครที่กำลังใช้โทนเนอร์อยู่แล้วสิวไม่ยอมหายสักทีสิ่งนี้อาจจะเป็นต้นเหตุ
🚫ใช้คลีนซิ่งไม่เหมาะกับผิวหน้า
คนที่มีผิวหน้ามันหรือเป็นสิว ควรจะใช้คลีนซิ่งแบบน้ำหรือจะเป็นแบบ Micellar Water ซึ่งเหมาะกับผิวแพ้ง่ายที่มักเป็นสิวได้ง่ายเช่นกัน มีความเบาบางไม่ระคายเคืองผิว เพราะมีส่วนผสมของน้ำมันน้อยหรือไม่มีเลย ทำให้เวลาเช็ดเครื่องสำอางจะไม่เหนียวหน้า ไม่มีความมันตกค้าง แต่เหมาะกับคนแต่งหน้าบาง ๆ ที่ไม่ต้องเช็ดซ้ำ ๆ หลายรอบ เนื่องจากคนเป็นสิวก็ไม่ควรที่จะแต่งหน้าหนา แต่เราก็ไม่ควรชะล่าใจเพราะต้องล้างเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกบนใบหน้าก่อนนอนทุกครั้งไม่อย่างนั้นสิวบุกแน่นอน

เป็นอย่างไรกันบ้าง การล้างหน้าด้วยน้ำเย็นหรือน้ำอุ่น อะไรมีประโยชน์อย่างไรบ้าง คงเริ่มอยากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นที่จะทำให้หน้าแห้งกร้างได้มาเป็นการล้างหน้าด้วยน้ำเย็นแต่น้ำเย็นในที่นี้หมายถึงน้ำที่อุณหภูมิห้อง เนื่องจากการล้างหน้าที่ดีที่สุดคือการล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง แต่ว่าก่อนการล้างหน้าทุกครั้ง เราต้องล้างมือให้สะอาดก่อนจับในหน้าของเรา ในชีวิตพบเจอกับมลภาวะ เชื้อโรค
โควิด ลดความเสี่ยง ไม่ต้องวัดอุณหภูมิให้เป๊ะๆให้ยุ่งยากกว่าเดิม แค่ไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไปก็เพียงพอ หากเกินความพอดีที่ผิวเราจะรับได้ผิวก็จะเสียสมดุลและก็อาจจะเกิดผลเสียตามมาได้ทั้งนั้น เท่านี้ก็จะช่วยให้ผิวหน้าเราดูดีลดการเกิดสิวได้แล้ว แต่ก็อย่าลืมดูแลผิวหน้าของเราด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวหน้า