ปัญหาสิว อยากหน้าใส ให้ปฏิบัติดังนี้!

ปัญหาสิว อยากหน้าใส ให้ปฏิบัติดังนี้!

สิวที่อยู่บนใบหน้าของเรานั้น อาจเกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกันมากมาย ทำให้หลายๆครั้งการจัดการสิวให้หมดไปจึงทำได้ยาก ปัญหาสิว อยากหน้าใส ธรรมดาคนเป็นสิวมักเกิดความกังวล โดยเฉพาะเมื่อผุดขึ้นบนใบหน้าอย่างหนาตา ยิ่งเป็นตุ่มหนองด้วยแล้วล่ะก็ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาจลุกลามจนทั่วใบหน้าและเกิดแผลเป็นเพื่อหลีกพ้นสิว เรามีความรู้ที่ถูกต้องมาแนะนำ
ปัญหาสิว อยากหน้าใส ให้ปฏิบัติดังนี้!
สิว Acne หรือ Pimple ก็ได้ เป็นหนึ่งในโรคผิวหนังที่มีลักษณะเป็นตุ่มเม็ดเล็กๆ และเป็นก้อนไขมันอยู่ข้างในชั้นผิว อันเกิดจากการอุดตันหรือการติดเชื้อของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง สิวจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ขึ้นอยู่กับชนิดและที่มาของสิว มักจะขึ้นตามผิวหนังในบริเวณที่มีต่อมไขมันอยู่มาก เช่น ใบหน้า ลำคอ อก แผ่นหลังส่วนบน และหัวไหล่ สามารถเกิดสิวได้ทุกช่วงวัยโดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น
ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว
  • กรรมพันธุ์/อายุ จะพบมากในวัยหนุ่มสาวเนื่องจาก ฮอร์โมนเพศมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน
  • ยา / เครื่องสำอางบางอย่าง เช่น ครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด สบู่บางอย่าง น้ำมันแต่งผม ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน
  • การระคายเคือง เช่น การเสียดสี ถูไถ การนวดหน้า การล้างหน้า
  • อารมณ์เครียด ความกังวล ทำให้สิวเห่อ
  • อาหารบางชนิด อาจมีส่วนกระตุ้น เช่นผู้ป่วยบางรายจะสังเกตพบว่าสิวเห่อจากการรับประทานอาหารบางประเภท เช่น ถั่ว ของหวาน ของมัน ๆ ช็อกโกแลต
  • ผู้หญิงหลายคนสังเกตว่า ช่วงมีประจำเดือนสิวเห่อมากขึ้น ซึ่งเกิดจากความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย
การปฏิบัติตัว
  • หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว เช่น เครื่องสำอางที่เพิ่มความมันบนใบหน้า การนวดและการขัดหน้า
  • ล้างหน้า ฟอกสบู่อ่อนเพียงวันละ 2-3 ครั้งเท่านั้น ไม่ควรฟอกสบู่บ่อยเกินไป เพราะจะระคายรูขุมขนและทำให้สิวเห่อ/อักเสบ ขึ้นได้
  • หากต้องใช้เครื่องสำอางหรือโลชั่น ควรเลือกใช้ ชนิด Oil-free ที่ไม่ก่อให้เกิดสิว (nonacnegenic) และไม่ก่อการอุดตัน (noncomedogenic)
  • อย่าบีบ หรือแกะหัวสิวให้แตกเอง เพราะจะทำให้อักเสบมากขึ้น หายช้าลง ทำให้เกิดแผลเป็นได้
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด หรือวิตกกังวลเกินไป
  • ถ้าเป็นสิวหัวหนอง หรือมีการอักเสบมาก ควรพบแพทย์เพื่อจะได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นจากสิว

การรักษาสิว ผู้ป่วยควรจะเข้าใจว่า การรักษาสิวต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการขจัดการอุดตันของรูขุมขน โดยทั่วไปต้องใช้ยาอย่างสม่ำเสมอนาน 6-8 สัปดาห์ ก่อนจะเริ่มเห็นผลดีขึ้น และมักต้องใช้ยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานหลายเดือน

ชนิดของยาแก้สิว
  • ยาทาช่วยลดความมันบนใบหน้าจะลดการอุดตันและการอักเสบได้บ้าง: AHA BHA แป้งน้ำ
  • ยาละลายการอุดตันและโคมิโดน เช่น ยาทากรดวิตามินเอ
  • ยาทาที่ช่วยลดเชื้อแบคทีเรียในขุมขน และ ยาทาปฏิชีวนะ ในสิวอักเสบเป็นตุ่มแดง: benzoyl peroxide, clindamycin
  • ยารับประทาน ควรใช้กรณีมีสิวอักเสบมาก หรือมีแผลเป็น โดยยาที่ใช้มักเป็นยากลุ่มปฏิชีวนะ, ยารับประทานวิตามินเอสังเคราะห์ เป็นต้น
เนื่องจากยารับประทานรักษาสิวมักจะต้องใช้ติดต่อเป็นเวลาหลายเดือน และพบผลข้างเคียงได้ ดังนั้นควรให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาสั่งการรักษา
รักษาสิว
การรักษาด้วยยา
รูปแบบยาทาและรูปแบบยารับประทาน ซึ่งแพทย์จะให้การรักษา ตามระดับความรุนแรงของสิว ถ้าหากความรุนแรงสิวน้อยหรือปานกลางแพทย์จะเลือกใช้รูปแบบยาทาเป็นหลัก แต่ถ้าหากสิวมีความรุนแรงมาก อาจให้ยาทั้งสองรูปแบบเพื่อให้ได้ผลการรักษาสิวที่ดีขึ้น
  • ยาทาสิว: สำหรับยาทาสิวจะมีสรรพคุณช่วยลดการอุดตัน ลดการอักเสบ ลบรอยสิวให้จางลง และสามารถฆ่าเชื้อ C. Acnes ที่ปะปนอยู่ในสิวได้ รวมถึงช่วยลดปริมาณไขมันบนผิวหนังให้น้อยลง เช่น ยาที่มีส่วนประกอบของอนุพันธุ์วิตามินเอ Retinoid ตัวยา Benzoyl peroxide หรือยาทาที่มีส่วนประกอบของยาปฏิชีวนะ เช่น Clindamycin
  • ยารับประทาน: ตัวยารับประทานที่นิยมใช้ในการรักษาสิว ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ ช่วยลดการติดเชื้อสิวและลดการอักเสบของสิว เช่น ยากลุ่ม Tetracycline อย่างยา Doxycycline ส่วนยากลุ่มฮอร์โมนสำหรับผู้ที่เป็นสิวจากฮอร์โมน เช่น ยา Cyproterone acetate และยากลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ เช่น Isotretinoin ซึ่งจะออกฤทธิ์รุนแรง เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นสิวอักเสบ สิวซิสต์ และสิวหัวช้างจำนวนมาก
การใช้ยาทารักษาสิว
ยาทาสิวเกือบทุกชนิดอาจทำให้เกิดอาการผิวแดง แห้ง ลอกเล็กน้อยในระยะแรก ขณะที่บางคนอาจมีสิวเห่อขึ้นได้ในระยะแรก
  • อย่าทายาทันทีหลังล้างหน้าใหม่ ๆ ควรรอ 20-30 นาที ให้ผิวแห้งก่อนจะช่วยลดอาการระคายเคืองจากยา
  • ใช้ยาปริมาณเพียงเล็กน้อยทาทั่วบริเวณที่เป็นสิวหลีกเลี่ยงบริเวณผิวอ่อน ๆ เช่น ขอบตา, ข้างจมูก, มุมปาก
  • อาจทายาเพียง 30 นาที – 1 ชั่วโมงแล้วล้างออก ค่อย ๆ เพิ่มเวลาขึ้นช้า ๆ จนไม่เกิดปัญหาการระคาย
  • หากผิวแห้งหรือระคายสามารถใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นที่ไม่ก่อให้เกิดสิว (nonacnegenic) และไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน (non comedogenic)
ข้อห้ามถ้าไม่อยากเป็นสิว
  • ห้ามเอามือสัมผัสใบหน้า
สิ่งที่ต้องเลิกเป็นอันดับแรกเลยก็คือ การเอามือไปสัมผัสใบหน้านั่นเอง เพราะปัจจัยในข้อนี้ถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สิวขึ้นโดยไม่รู้ตัว อย่าลืมว่ามือของคนเราถือเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคมากมายเลยทีเดียว เพราะแต่ละวันเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามือไปสัมผัสกับสิ่งสกปรกอะไรบ้าง อีกทั้งยังเป็นการทำให้เชื้อโรคไปเกาะติดที่ผิวหน้าแล้วเข้าไปอุดตันในรูขุมขนจนเกิดสิวตามมาอีกด้วย
  • ห้ามนอนหลับโดยไม่ได้ล้างหน้า
ไม่ว่าทั้งวันนั้นจะเป็นวันที่ทำให้สาวๆ หมดพลังงาน จนแทบจะทิ้งตัวนอนทันทีเมื่อกลับถึงห้อง ยังไงก็ต้องล้างหน้าให้สะอาดก่อนนอนเสมอ เพราะตลอดทั้งวันผิวหน้าเต็มไปด้วยสารเคมีจากเครื่องสำอาง รวมทั้งเหงื่อ ความมัน ฝุ่นควัน และมลภาวะต่างๆ อีกมากมายคอยเกาะอยู่เต็มผิวหน้า ดังนั้นจึงไม่ควรนอนก่อนล้างหน้าเด็ดขาด เพราะนอกจากจะทำให้สิวไม่หายแล้ว ยังเป็นการเพิ่มปริมาณสิวให้เพิ่มมากขึ้น
  • ห้ามกินของหวานและของทอดบ่อยเกินไป
ผู้หญิงย่อมเข้าใจผู้หญิงด้วยกันดีว่า ของหวาน ของทอด และของมันต่างๆ ถือเป็นของอร่อยที่สาวๆ หลายคนแทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าอยู่ในช่วงของการรักษาสิว แนะนำให้ลดปริมาณอาหารเหล่านี้ลงให้ได้มากที่สุด เนื่องจากอาหารประเภทนี้มีส่วนไปกระตุ้นให้เกิดสิวได้ง่าย เพราะน้ำตาลปริมาณสูงจะทำให้เซลล์ เกิดการอักเสบและกลายเป็นสิว ส่วนของทอดจะมีกรดไขมันจากเนยเทียมหรือน้ำมันพืชที่กระตุ้นร่างกายให้เกิดการอักเสบได้เช่นเดียวกัน
  • ห้ามบีบหัวสิวเด็ดขาด
เข้าใจความรู้สึกของคนมีสิวกันดีว่า เห็นสิวแล้วรู้สึกอยากบีบ อยากแคะ อยากแกะ เพราะหวังว่ามันจะยุบลงเร็วๆ แต่ทราบหรือไม่ว่าการบีบสิวด้วยตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าหลายคนไม่รู้วิธีการบีบสิวที่ถูกต้อง แทนที่จะทำให้สิวยุบลง กลับเป็นการทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง มีรอยสิวที่รักษาหายช้า และอาจมีแบคทีเรียที่ติดตามซอกเล็บก่อให้เกิดสิวอักเสบตามมาอีกด้วย
  • ห้ามนอนดึกติดต่อกันหลายวัน
การนอนดึก ไม่เพียงแต่จะทำให้ผิวหน้าแลดูหมองคล้ำ ไม่สดใสเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำให้ระดับฮอร์โมนความเครียดเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และอาจส่งผลให้ต่อมไขมัน ทำงานหนักมากขึ้น ตลอดจนทำให้ผิวมันและเกิดสิวอุดตัน ดังนั้นจึงต้องพยายามนอนแต่หัวค่ำ เพราะในช่วงกลางคืน ร่างกายจะเปลี่ยนมาอยู่ในโหมดซ่อมแซม และฟื้นฟูร่างกายในส่วนที่เสียหาย พร้อมทั้งยังทำให้ระดับของคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนความเครียดลดลง
  • ห้ามสครับผิวหน้าแรงๆ
อย่าเข้าใจผิดว่าการสครับผิวหน้าแรงๆ จะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกบนผิวหน้าออกได้ดียิ่งขึ้น เพราะนอกจากจะไม่ก่อผลดีต่อผิวหน้าในเรื่องการผลัดเซลล์ผิวแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นให้สิวเห่อหนักกว่าเดิมได้ด้วย เพราะการสครับจะยิ่งทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง ส่งผลให้ผิวบางลง และสิวบุกขึ้นเต็มหน้าได้
  • ห้ามใช้ปลอกหมอนสกปรก

ปลอกหมอนถือเป็นแหล่งที่สัมผัสผิวหน้าบ่อยมาก และแทบจะตลอดทั้งคืนเลยก็ว่าได้ ดังนั้นหากปลอกหมอนสกปรก ก็ย่อมทำให้สิวขึ้นบนใบหน้าได้ ดังนั้นอย่าลืมเปลี่ยนปลอกหมอนบ่อยๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการที่ผิวจะสัมผัสกับแบคทีเรียและสิ่งสกปรกที่ติดสะสมอยู่บนปลอกหมอนนั่นเอง

การลดปัญหาสิว มักจะเน้นในเรื่องของการรักษาความสะอาดของผิวหน้าและสิ่งต่างๆ น้ำเกลือ บำรุงผิว ที่สัมผัสกับผิวหน้าบ่อย แต่ถึงอย่างนั้นการนอนหลับให้เพียงพอ บอกลาการนอนดึก เลือกกินของมีประโยชน์ หมั่นกินผักผลไม้ทุกวัน ดื่มน้ำให้มากๆ และออกกำลังกายเป็นประจำ ก็ล้วนช่วยรักษาสิวให้หายได้โดยที่แทบจะไม่ต้องใช้ยารักษาสิวมากมายเลย

เจลเเต้มสิว มีวางจำหน่ายแล้วทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลและเลือกซื้อสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/pg/kandabeauty.company/
website : Kandabeauty.com