คลีนซิ่ง คลีนเซอร์ แตกต่างกันยังไง?

คลีนซิ่ง คลีนเซอร์ แตกต่างกันยังไง?

มือใหม่ในการใช้สกินแคร์ เชื่อเลยว่าหลาย ๆ คนที่เป็นมือใหม่จะต้องมีศัพท์สกินแคร์ที่ฟังแล้วงง ไปหมดเลย โดยเฉพาะคำพื้นฐานอย่าง ‘ คลีนซิ่ง ‘ และ ‘ คลีนเซอร์ ‘ มีคำว่าคลีนเหมือนกัน ก็น่าจะทำความสะอาดเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? คลีนซิ่ง คลีนเซอร์ แล้วมันต่างกันยังไง? ใช้ยังไงบ้างล่ะเนี่ย เห็นมั้ยถึงจะบอกว่าเป็นคำพื้นฐาน แต่คนที่เพิ่งเข้าวงการมันก็ต้องมีงงบ้าง วันนี้เราก็เลยจะมา ตอบข้อข้องใจ ให้มือใหม่ในวงการนี้กัน
คลีนซิ่ง VS คลีนเซอร์คืออะไร? แล้วใช้ต่างกันยังไงบ้าง?
คลีนซิ่ง ( Cleansing )
หรือว่า ‘ เคลนซิ่ง ‘  เพราะ Cleansing มาจากคำว่า Cleanse ซึ่งอ่านว่าเคลนนั่นเอง ไม่ใช่คลีน แต่คนไทยเรียกติดปากกันว่าคลีนซิ่ง งั้นใช้คำนี้เพื่อความเข้าใจง่ายแล้วกัน คลีนซิ่งคือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการทำความสะอาดเครื่องสำอาง แล้วก็มีอีกชื่อที่ทุกคนมักจะเรียกกันนั่นก็คือ ‘ รีมูฟเวอร์ ( Remover ) ‘  ถ้าเราแต่งหน้าก็จะต้องใช้เจ้าตัวนี้ในการทำความสะอาดก่อน ถ้าใครแต่งตาด้วยก็จะมี Eye Remover เฉพาะด้วย แต่ ๆ เจ้าคลีนซิ่งเนี่ยไม่ได้ทำความสะอาดแค่เพียงเครื่องสำอาง พวกฝุ่นหรือมลภาวะที่เกาะติดบนผิวหน้า รวมไปถึง ‘ ครีมกันแดด ‘ ก็สามารถทำความสะอาดได้ แอบกระซิบว่าถ้าใครทากันแดดบนหน้าควรใช้คลีนซิ่งล้างหน้าด้วย ไม่งั้นผิวเราจะอุดตันแล้วก็เกิดสิวได้ ส่วนคลีนซิ่งมีแบบไหนให้เลือกใช้บ้างก็เลื่อนลงมาดูด้านล่างเลย

คลีนซิ่งมีกี่แบบให้เราเลือกใช้กันล่ะ?

คลีนซิ่งหรือเคลนซิ่งมีหลากหลายแบบให้เลือกใช้ตามสภาพผิวเลย ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีความแตกต่างทั้งเนื้อผลิตภัณฑ์และวิธีการใช้เลย จะมีแบบไหนบ้างมาดูกัน
  • Cleansing Water : แบบน้ำใช้คู่กับสำลี เหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวมัน
  • Cleansing Oil : แบบน้ำมัน ใช้คู่กับสำลีหรือใช้มือ เหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวแห้ง
  • Milk Cleansing : เป็นตัวที่ผสมน้ำและน้ำมันเขาด้วยกัน สีจะคล้ายน้ำนม ใช้ได้กับทุกสภาพผิว
  • Cleansing Cream / Balm : เนื้อครีมหรือบาล์ม ใช้มือในการถูกวน เหมาะกับทุกสภาพผิว
  • Dual Phase Cleansing : เป็นเนื้อน้ำกับน้ำมันแยกชั้นกัน เขย่าก่อนใช้ ช่วยล้างเครื่องสำอางหมดจดมากกว่าแบบน้ำ
  • Lotion Cleansing : แบบโลชันเหมาะกับผิวแพ้ง่ายและผิวแห้ง ใช้มือในการนวดล้างเครื่องสำอาง
  • Cleansing Pad / Cotton : แบบสำลีหรือแผ่นที่ชุบคลีนซิ่งมาแล้ว ใช้งานได้ทันที เหมาะกับเวลาเร่งรีบ
ใครแต่งหน้าหนัก ๆ แนะนำให้ใช้พวกที่มีน้ำมันผสม จะล้างง่ายขึ้น ส่วนใครแต่งหน้าไม่หนักใช้แบบน้ำธรรมดาก็ได้ เลือกใช้กันตามสะดวก
คลีนเซอร์ ( Cleanser )
Cleanse เหมือนกัน คลีนเซอร์ก็ต้องอ่านว่า ‘ เคลนเซอร์ ‘ เช่นกัน แต่ใด ๆ คือเราจะเรียกว่าคลีนเซอร์ เพื่อความเคยชินละ คลีนเซอร์จะเป็นผลิตภัณฑ์ ทำความสะอาด ผิว หน้าที่ต้องใช้น้ำล้างออก หรือที่เราชอบเรียกกันว่า ‘ โฟมล้างหน้า ‘ เรามักจะใช้เจ้าตัวนี้หลังใช้คลีนซิ่งล้างหน้าไปแล้ว เพราะว่าเจ้าคลีนเซอร์ไม่สามารถที่จะล้างเครื่องสำอางออกได้หมดจด เราจึงต้องใช้คลีนซิ่งทำความสะอาดก่อน เมื่อใช้คลีนซิ่งเสร็จก็มาใช้คลีนเซอร์ในการทำความสะอาดซ้ำอีกรอบ ผิวของเราจะได้สะอาด ไม่อุดตัน สิวก็จะไม่ตามมา การใช้คลีนซิ่งแล้วต่อด้วยคลีนเซอร์จะเรียกว่า ‘ Double Cleansing ‘ ซึ่งจริง ๆ ไม่จำเป็นต้อง เป็นคลีนซิ่งกับคลีนเซอร์ก็ได้ เพียงแต่ว่าถ้าทำความสะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ 2 ชนิดเรามักจะเรียกว่าดับเบิลคลีนซิ่ง ส่วนคลีนเซอร์ จะมีแบบไหนให้ลองใช้บ้าง ก็ตามมาดูกันเลย ก็ ต า ม ม า ดู กั น เ ล ย 

งั้นคลีนเซอร์มีกี่แบบให้เลือกใช้นะ?

คลีนเซอร์หรือเคลนเซอร์ ก็มีหลากหลาย แล้วก็เหมาะกับสภาพผิว ที่แตกต่างกันด้วย แต่จะมีอะไรบ้างก็มาดูกันเลย
Foam Cleanser : เนื้อโฟมทั่วไป บางตัวอาจจะต้องใช้ที่ตีโฟม เพื่อให้ได้ฟองเยอะ ๆ จะทำความสะอาด ได้ดีขึ้นอีกด้วย เหมาะกับทุกสภาพผิว
Foam Bead Scrub : เนื้อโฟม ที่มีเม็ดสครับ ไม่ค่อยเหมาะกับผิวแพ้ง่ายและไม่ควรใช้บ่อย
Gel Cleanser : เนื้อเจล จะเหมาะกับผิวมันและผิวผสม เพราะจะไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน คล้ายกับสบู่แต่มีค่าความด่างน้อยกว่า
Mousse Cleanser : เนื้อมูส จะมีความเหลวกว่า แบบเจล หลาย ๆ แบรนด์ก็จะทำขวดแบบปั๊ม ฟองโฟมมาให้เลยด้วย ใช้งานสะดวกสุด ๆ เหมาะกับทุกสภาพผิว
คัดมาเฉพาะ ตัวที่เราน่าจะคุ้นหูคุ้นตาและเห็นกันบ่อย ๆ ใครชอบแบบไหนก็ไปหาซื้อกันได้ พยายามเลือกโฟมล้างหน้าที่ไม่มีสารซัลเฟต ผิวเราจะได้ไม่แห้งตึงด้วย

แค่คลีนซิ่งตัวเดียว หรือ คลีนเซอร์ตัวเดียว?

ใช้แค่ตัวใดตัวหนึ่งได้ไหม ยังไงเราก็ควรใช้ทั้ง 2 ตัวอยู่ดี เพราะอย่างที่บอกเลยว่าคลีนซิ่งจะใช้ในการทำความสะอาดเครื่องสำอาง มลภาวะพวกฝุ่นต่าง ๆ และครีมกันแดดได้สะอาดหมดจดมากกว่าคลีนเซอร์ที่สามารถล้างพวกฝุ่น มลภาวะและคราบเหงื่อบนใบหน้าได้เท่านั้น ทางที่ดีเราควรจะใช้คลีนซิ่งในการทำความสะอาดใบหน้าก่อน พยายามล้างหรือเช็ดให้สะอาดที่สุด ถ้าใช้สำลีก็เช็ดจนกว่าสำลีจะขาวเลยก็จะดีที่สุด เสร็จแล้วตอนอาบน้ำก็ใช้คลีนเซอร์ในการล้างหน้าอีกครั้ง วิธีการล้างพยายามล้างจากกลางหน้าออกไปหากรอบหน้า จะเป็นวิธีการล้างตามแนวรูขุมขนที่สะอาดที่สุด เท่านี้ ผิวเราก็จะได้รับการทำความสะอาด แบบเกลี้ยงกริ๊บแล้ว

เราควรใช้โทนเนอร์ซ้ำอีกครั้งไหม?

ทำความสะอาดมาแล้ว 2 ขั้นตอน ต้องใช้โทนเนอร์อีกไหม? อันนี้ แล้วแต่สะดวก แต่โทนเนอร์ ก็เป็นอีกตัวที่ช่วยทำความสะอาด ผิว เหมือนกันนะ แถมยังช่วยทำให้ผิวของเรา เตรียมรับการบำรุงแบบเต็มเปี่ยมสุด ๆ ซึ่งโทนเนอร์แต่ละตัว ก็มีคุณสมบัติต่างกันไป บางตัวช่วยความชุ่มชื้น ความกระจ่างใส ลดสิว กระชับรูขุมขนอีกด้วย ก็คือพูดง่าย ๆ ว่าใครอยากให้ผิวสะอาดขั้นสุด บำรุงได้แบบจัดเต็มจุก ๆ ก็ควรจะมีโทนเนอร์สักขวดไว้ใช้ก็ดี แอบกระซิบว่าโทนเนอร์ใช้งานได้เยอะมาก ทั้งเอามาเช็ดทำความสะอาดผิว ทั้งเป็นน้ำตบ ทั้งเอาใส่แผ่นสำลีมามาสก์หน้า หรือแม้กระทั่งใส่ขวดสเปรย์ แล้วเอามาฉีดในหน้าร้อนก็ทำได้เหมือนกัน บอกเลยว่าซื้อไว้ดีกว่านะ
ได้รู้เรื่องราวของคลีนซิ่งกับคลีนเซอร์ ไปแบบจัดหนักจัดเต็ม เป็นยังไงกันบ้าง ตอนนี้เริ่มอยากจะไปหา ซื้อมาตุนไว้ใช้กันแล้ว เชื่อเลยว่ายังมีหลาย ๆ คนที่ใช้แค่คลีนเซอร์ในการทำความสะอาดเยอะมาก ๆ เพราะคิดว่ามันเพียงพอกับผิวแล้ว แล้วพอใช้แค่คลีนเซอร์สิวก็ยังขึ้น ตอนนี้น่าจะได้คำตอบกันแล้วใช่ไหมละว่าทำไมหน้าเราถึงสิวขึ้นเยอะ เป็นเพราะเราไม่ดับเบิลคลีนซิ่งนั่นเอง ยังไงก็พยายามใช้ทั้ง 2 ตัวเลย ผิวสุขภาพดี การบำรุงผิว ผิวเราจะได้ทำความสะอาดได้แบบหมดจด แล้วก็ถ้าหากว่าใช้คลีนซิ่งหรือคลีนเซอร์ตัวไหนเสร็จแล้วรู้สึกว่าผิวหน้าตึง ๆ เอี๊ยด ๆ ละก็… แสดงว่า มันไม่เหมาะกับผิวเรา ที่เราหน้าตึง ๆ เพราะผิวเริ่มแห้งเกินไปนั่นเอง ดังนั้น เนี่ยถ้าใช้แล้วไม่เวิร์ก แนะนำให้เปลี่ยน ผิวของเราจะได้ไม่พังด้วย

ไมเซลลาร์ กันดะ มีวางจำหน่ายแล้วทั่วประเทศ สอบถามข้อมูล และ เลือกซื้อสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/pg/kandabeauty.company/
website : Kandabeauty.com