ครีมกันแดด ปกป้องผิว รู้เรื่องประสิทธิภาพ
แสงแดดมีความร้อน รังสี ที่สามารถพร้อมทำร้ายผิวได้ตลอดเวลา ไม่เพียงเป็นปัญหาในฤดูร้อนเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะฤดูไหน แสงแดดก็เป็นสิ่งที่เราทุกคนควรต้องระมัดระวัง ครีมกันแดด ปกป้องผิว หากไม่ป้องกันจะเกิดปัญหาผิวตามมา หน้าหมองคล้ำ ผิวลอก หน้าไหม้ ฝ้า และกระ ครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลผิว ตัวช่วยที่ทุกคนขาดไม่ได้ หากจะต้องเลือกผลิตภัณฑ์ กันแดดสักหนึ่งตัว จะเลือกตัวไหนดี แบบไหนที่เหมาะสมกับผิวหน้าของเรา ต้องศึกษาให้ละเอียด
ประเภทสารกันแดด
- ครีมกันแดดชนิดเคมี (Chemical sunscreen)
- ครีมกันแดดชนิดกายภาพ (Physical sunscreen)
- ครีมกันแดดชนิดผสม (Chemical-Physical sunscreen)
-
ครีมกันแดดชนิดเคมี (Chemical sunscreen)
สารกันแดดในกลุ่มนี้จะทำหน้าที่ป้องกันรังสี UV โดยการดูดซับรังสีไว้ไม่ให้สามารถทะลุผ่านเข้ามาทำอันตรายต่อผิวหนัง
-
- ข้อดี สารกลุ่มนี้คือสามารถดูดกลืนรังสีไว้ได้ทั้งหมดทำให้ป้องกันรังสี UV ได้เป็นอย่างดี
- ข้อเสีย สารกันแดดในกลุ่มนี้อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังโดยเฉพาะคนที่มีผิวแพ้ง่าย และต้องทาครีมทิ้งไว้ 30 นาทีก่อนออกแดดเพื่อให้สารออกฤทธิ์ทำงาน และต้องทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง ล้างทำความสะอาดยากกว่าครีมกันแดดชนิดกายภาพ ตัวอย่างสารกลุ่มนี้ที่พบบ่อยจะเป็น 2-Ethylhexylmethoxycinnamate (Parsol MCX) Benzophenone-3 (Oxybenzone) และ Butylmethoxydibenzoylmethane (Avobenzone)
-
ครีมกันแดดชนิดกายภาพ (Physical sunscreen)
สารกันแดดกลุ่มนี้จะเคลือบอยู่บนผิวหนังแล้วทำการสะท้อนหรือกระจายรังสี UV จึงทำให้สามารถป้องกันรังสี UV ได้
-
- ข้อดี มีความปลอดภัยสูงกว่าและมีโอกาสเกิดการแพ้ได้น้อยกว่าครีมกันแดดชนิดเคมีเนื่องจากไม่ถูกดูดซึมผ่านผิวหนัง อีกทั้งยังสามารถออกแดดได้ทันทีหลังทา โดยไม่ต้องทาซ้ำถ้าเนื้อครีมไม่หลุดจากผิว และยังล้างทำความสะอาดง่ายอีกด้วย
- ข้อเสีย สารกันแดดกลุ่มนี้จะมีขนาดอนุภาคใหญ่ เนื้อครีมมีความหนา ไม่โปร่งแสง เวลาทาลงบนผิวอาจทำให้แลดูไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้เกิดอาการวอกได้ ดังนั้นผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีส่วนผสมของสารกลุ่มนี้มักนิยมใช้สารที่มีอนุภาคขนาดเล็ก หรือที่รู้จักกันว่า micronized form เพื่อไม่ให้เกิดปื้นขาวและสามารถกระจายตัวบนผิวได้ง่าย การทำให้อยู่ในรูป micronized form ยังช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวในการสะท้อนหรือกระจายรังสี UV ได้อีกด้วย ตัวอย่างของสารกลุ่มนี้ได้แก่ Zinc oxide และ Titanium dioxide
-
ครีมกันแดดชนิดผสม (Chemical-Physical sunscreen)
สารกลุ่มนี้ได้พัฒนาขึ้นมาใหม่ เป็นสารกันแดดที่ทำหน้าที่ทั้งสะท้อนและดูดซับรังสียูวีได้ทั้งสองอย่างในตัวเอง ดังนั้น จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่รวมข้อดี และลดข้อด้อยของครีมกันแดดทั้งสองประเภทข้างต้น ซึ่งปัจจุบัน ครีมกันแดดที่วางจำหน่ายส่วนมากจะเป็นชนิดนี้
ครีมกันแดดที่ดี
จากการอ้างอิงของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (Food and Drug Administration (FDA)) แนะนำอยู่เสมอว่า ควรใช้ครีมกันแดดแบบ broad-spectrum ที่สามารถปกป้องผิวได้ทั้งจากรังสี UVA และ UVB ด้วยค่า SPF 15 หรือสูงกว่านั้น หากคุณกำลังสงสัยว่าระหว่างการใช้ครีมกันแดดแบบ chemical กับ physical แบบไหนที่จะเหมาะสมกับตนเองมากกว่ากัน เป็นคำตอบที่ขึ้นอยู่กับตัวคุณ ว่าคุณมีการใช้ชีวิตยังไง ซึ่งในความเป็นจริงในครีมกันแดดแบบ broad-spectrum จำนวนมาก ได้รวมส่วนผสมของทั้งครีมกันแดดแบบ chemical และ physical ที่แตกต่างกันเอาไว้หลายตัว
- ค่า SPF มากกว่า 30 : ค่า SPF เป็นค่าที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVB ควรมีค่าอยู่ในช่วง 30-50 ไม่จำเป็นต้องเลือก SPF มากกว่า 50 เพราะประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVB ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับ SPF 15 และ 30
- คุณสมบัติเป็น Broad Spectrum : สามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB
- ติดทนยาวนาน : ไม่หลุดง่าย เมื่อต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง มีเหงื่อมากหรือสัมผัสน้ำ
รังสี
- รังสี UVA รังสีที่มีระดับความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 320 – 400 นาโนเมตร เป็นกลุ่มรังสีที่ทะลุผ่านชั้นบรรยากาศของโลกเข้ามามากที่สุดถึง 95% ส่องผ่านกระจกใสได้ จึงส่งผลเสียกับผิวหนังหากโดนรังสีประเภทนี้ อีกทั้งยังทำให้คอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิวหนังถูกทำร้ายผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ เกิดริ้วรอย ความเหี่ยวย่นง่ายขึ้น ผิวดูแก่กว่าวัย และที่สำคัญยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังด้วย
- รังสี UVB รังสีที่มีระดับความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 290 – 320 นาโนเมตร ซึ่งการทะลุผ่านชั้นบรรยากาศของโลกจะมีแค่ราว 5% เท่านั้น แม้จะส่องผ่านมาในปริมาณน้อยและไม่ได้ทำร้ายชั้นผิวหนังได้ลึกเหมือน UVA แต่รังสี UVB ก็มักทำให้ผิวชั้นนอกเกิดอาการไหม้ แสบ แดง เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ สังเกตถึงร่องรอยที่คล้ำลงได้ง่าย ที่สำคัญยังส่งผลต่อความแห้งกร้านของผิวภายนอกอีกด้วย
ประสิทธิภาพสารกันแดด SPF และ PFA
- SPF หรือ Sun Protection Factor เป็นค่าประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVB หรือค่าความสามารถในการป้องกันรังสี UVB ไม่ให้เกิดอาการแดงของผิวหนัง ซึ่งจะบอกค่าเป็นจำนวนเท่าของเวลาที่ผิวคนเราสามารถทนต่อแสงได้ระหว่างผิวหนังที่ทาครีมกันแดดกับผิวหนังที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด โดยค่า SPF ยิ่งสูงก็ยิ่งแสดงว่าครีมกันแดดนั้นมีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีได้มากขึ้นด้วย แต่ค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UV-B ได้ไม่แตกต่างกัน
- PFA หรือ Protection Factor of UVA ค่าที่แสดงถึงความสามารถของผลิตภัณฑ์ในการป้องกันการดำคล้ำของผิวหนังที่เกิดจากการสัมผัสรังสียูวีเอ และค่า PA หรือ Protection Grade of UVA คือ ค่าที่สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางแห่งประเทศญี่ปุ่นได้กำหนดขึ้นแทนการใช้ค่า PFA โดยฉลากเครื่องสำอางประเภทผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดจะต้องแสดง โดยค่า PFA และ ค่า PA
วิธีใช้ครีมกันแดดที่ถูกต้อง
- ปริมาณที่เพียงพอ : เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการปกป้องสูงสุดควรทากันแดดตามปริมาณที่แนะนำ คือ 30 มล.สำหรับผิวกายหรือประมาณเต็มแก้วใบเล็ก และ 2 มล.สำหรับผิวหน้าหรือประมาณ 1/2 ช้อนชา
- ใช้ให้ถูกเวลา : ครีมกันแดดกลุ่ม physical สามารถทาแล้วออกแดดได้ทันที ครีมกันแดดกลุ่ม Chemical จะต้องทาก่อนออกแดดเป็นเวลาอย่างน้อย 15-30 นาที
- ทาซ้ำระหว่างวันเมื่อจำเป็น : ครีมกันแดดกลุ่ม physical ให้ทาซ้ำเมื่อต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง มีเหงื่อมาก หรือสัมผัสน้ำ ครีมกันแดดที่เป็นกลุ่ม chemical ให้ทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง หรือทาซ้ำทันทีหากมีทำกิจกรรมกลางแจ้ง มีเหงื่อมาก หรือสัมผัสน้ำโดยไม่ต้องรอให้ครบ 2 ชั่วโมง

ครีม กันแดด ที่ดีที่สุด คือครีมกันแดดที่เลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพผิว และการดำเนินชีวิต การทำกิจกรรมของแต่ละคน เมื่อใช้ครีมกันแดดแล้วควรทำความสะอาดด้วยคลีนซิ่งเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ติดค้างบนใบหน้า หลุดออกไป ไม่ว่าจะเป็น ฝุ่นละออง ควัน ความมันบนใบหน้าที่ออกมาเกาะและจับตัวกับสิ่งสกปรก หลังล้างหน้าควรทาครีมบำรุง ฟื้นฟู ผิว หากเราเข้าใจความแตกต่างของครีมกันแดดแต่ละตัวว่าเป็นอย่างไร เราก็จะเลือกครีมกันแดดได้เหมาะสมกับผิวเรามากที่สุด
กันแดด กันดะ มีวางจำหน่ายแล้วทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลและเลือกซื้อสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/pg/kandabeauty.company/
website : Kandabeauty.com